การปกครองของไทย
ความหมายของสถาบันการปกครอง
สถาบันการปกครอง หมายถึง
ตำแหน่งหรือองคืการวึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลประเทศ
โดยได้กำหนดไว้เป็นที่แน่นอน และได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไป
องค์ประกอบสถาบันการปกครอง
1.องค์ประกอบของสถาบันการปกครองโดยทั่วไป
ได้แก่
1.1
ประมุขของประเทศ
1.2
ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล
1.3
ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา
1.4 ฝ่ายตุลาการหรือศาล
2.อำนาจหน้าที่ของสถาบันต่างๆจะมีมากน้อยเพียงไร
ย่อมขึ้นอยู่กับระบอบการปกครองของประเทศนั้น
4.1 วิวัฒนาการการปกครองของไทย วิวัฒนาการการปกครองของไทยแบ่งเป็นสมัยต่างๆ
ดังนี้
-สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แบ่งได้เป็น 4
ยุค ดังนี้
-สมัยสุโขทัย มีลักษณะการปกครองที่สำคํญ ดังนี้
1.กษัตริยืมีฐานะเหมือน “บิดาปกครองบุตร” ที่เรียกว่า “ปิตุราชา”
2.ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนเป็นไปอย่างใกล้ชิด
3.ประชาชนขนานพระนานกษัตริย์ว่า ”พ่อขุน” เรียกข้าราชการผู้ใหญ่ว่า”ลูกขุน”โดยเฉพาะในตอนต้นสุโขทัย
สมัยอยุธยา
1.ความเชื่อของกษัตริย์เปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อของขอมที่ว่า
กษัตริย์เปรียบเสมือนเทพเจ้าที่เรียกว่า ”เทวราชา”
2.มีการขนานนามพระมหากษัตริย์ว่า “สมเด็จ” หรือ “พระเจ้า”
3.กษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารแผ่นดินโดยอาศัยขุนนางและข้าราชการฝ่ายต่างๆ
4.ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปรับปรุงการปกครองเป็นดังนี้ คือ
-
สมุหนายก รับผิดชอบกิจกรรมพลเรือน
-
สมุหกลาโหม รับผิดชอบด้านการทหาร
5.ในด้านการศาลและกฎหมาย มีกฎหมายที่เรียกว่า “คัมภีร์พระมนูธรรมศาสตร์”
สมัยธนบุรี การปกครองส่วนใหญ่คงถือตามแบบอยุธยาเป็นหลัก
สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
1.ในระยะแรกถือตามแบบสมัยอยุธยาและธนบุรี
2.การเปลี่ยนแปลงการปกครองคั้งสำคัญในสมัยรัตนโกสิทร์มีขึ้นในสมัยรัชกาลที่
5 โดยมีการปฏิรูปการปกครองคั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2435 ได้แก่
2.1
จัดตั้งกระทรวงต่างๆขึ้น 12 กระทรวง
2.2
ปรับปรุงการคลัง
2.3
ปรับปรุงการศาลตามแบบประเทศตะวันตก
2.4
ปรับปรุงการต่างประเทศ
2.5
จัดการปกครองแบบเทศาภิบาลในส่วนภูมิภาค
2.6
เริ่มทดลองการปกครองแบบสุขาภิบาลในท้องถิ่นเป็นครั้งแรก
2.7
โปรดให้ตั้งสภาขึ้น 2 สภา คือ
ก. สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council
of State)
ข. สภาที่ปรึกษาในพระองคื (Privy
Council)
3.ในสมัยรัชกาลที่ 6
ได้ใช้แผนการปกครองอย่างสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ได้มีการปรับปรุงเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง
คือ
3.1 ตั้งกระทรวงทหารเรือและกระทรวงพาณิชย์
3.2 รวมมณฑลต่างๆเข้าเป็นภาค
3.3
ทรงวางรากฐานเพื่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยขึ้นหลายอย่าง คือ
ก.สร้างเมืองจำลองขึ้นเพื่อทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เรียกชื่อว่า “ดุสิตธานี”
ข.ออกพระราชบัญญัติประถมศึกษา
ค.พระราชทานเสรีภาพโดยผ่านทางหนังสือ
4.ในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงมีพระดำริพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทย
แต่พอเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์
4.2
การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
1.สาเหตุของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
1.1
คนรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก
ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองตามแบบอารยประเทศ
1.2 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้
1.3
เห็นว่าประเทศญี่ปุ่นและจีนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว
1.4
เกิดความขัดแย้งในกลุ่มผู้ปกครองประเทศ
2. คณะราษฎร ซึ่งประกอบด้วยการปกครองฝ่ายทหารและพลเรือนได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จ
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
โดยพระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นประมุขของชาติและมีพระราชอำนาจตามขอบเขตแห่งกฎหมาย
3.นโยบายของคณะราษฎร ที่เรียกว่า หลัก 6
ประการ มีดังนี้ คือ
3.1 จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย
3.2
จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ
3.3
จะต้องรักษาความสุขสมบูรณ์ของราษฎร์ในทางเศรษฐกิจ
3.4 จะต้องให้ราษฎร์มีสิทธิเสมอภาคกัน
3.5
จะต้องให้ราษฎร์ได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ
3.6
จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร์
4.หัวหน้าคณะราษฎร์ คือ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
5.การปฏิวัติดำเนินไปด้วยความเรียนร้อย เพราะพระบาลสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
6.
ไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญบับชั่วคราวเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475
และฉบับถาวรเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
7.นายกรัฐมรตรีคนแรกของไทยคือ
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
8.เหตุการณืสำคัญภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีดังนี้
คือ
8.1
คณะราษฎร์ได้ดำเนินการตามนดยบายที่กำหนดไว้ แต่ไม่บรรลุผลเท่าที่ควร
เนื่องจากสาเหตุดังนี้
ก. คณะราษฎร์เกิดการแย่งชิงอำนาจ
ข. คณะผู้บริหารมีความเห็นแตกแยกกันเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ค. ประชาชนได้รับการศึกษาน้อย
ยังไม่เข้าใจรูปแบบการปกครองของไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยได้ดำเนินไปด้วยการประนีประนอมเพื่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนในชาติ
9.สรุปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยืมาเป้นระบอบประชาธิปไตยได้ดำเนินไปด้วยการประนีประนอมเพื่อความสงบสุขเรียบร้อยของประชาชนในชาติ
4.3
การปกครองของไทยในปัจจุบัน
ภายหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 แล้ว
ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
สถาบันการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน
ประกอบด้วยสถาบันและองค์กรต่างๆดังต่อไปนี้
สถาบันพระมหากษัตริย์
1.ทรงดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ
2.ทรงใช้อำนาจอธิปไตยตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
สถาบันรัฐสภา
1.รัฐสภา หมายถึง ที่ประชุมของผู้แทนประชาชานทั้งประเทศ
เพื่อทำหน้าที่แทนประชาชนในการตราพระราชบัญญัติต่างๆ
2.รูปแบบของรัฐสภา มี 2 แบบ คือ
2.1 แบบสภาเดียว
2.2 แบบ 2 สภา ได้แก่
ก. สภาผู้แทนราษฎร์
ข.วุฒิสภา
3.ที่มาของสมาชิกรับสภา
3.1 มาจากการเลือกตั้ง เช่น ในกรณีของสมาชิกผู้แทนราษฎร์
3.2 มาจากการแต่งตั้ง เช่น ในกรณีของสมาชิกวุฒิสภา
โดยพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้ที่พระองค์เห็นสมควรให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา
4.อำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ได้แก่
4.1 เสนอชื่อบุคคลที่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี
4.2 ตราพระราชบัญญัติ
4.3 ควบคุมรัฐบาลให้บริหารประเทศตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา
4.4 อำนาจหน้าที่อื่นๆ เช่น
ก.การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ข.การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม
สถาบันรัฐบาล
1.รัฐบาล หมายถึง คณะบุคคลซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารประเทศเรียกว่า “คณะรัฐมนตรี”
2.หน้าที่ของรัฐบาล คือ
2.1 กำหนดนโยบายในการบริหารราชกาลแผ่นดิน
2.2 นำนโยบายและพระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาไปบังคับให้เกิดผล
3.องค์ประกอบของรัฐบาล ได้แก่ คณะรัฐมนตรีซึ่งประกอบด้วยตำแหน่งต่างๆ ดังนี้
3.1 นายกรัฐมนตรี
3.2 รองนายกรัฐมนตรี
3.3 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
3.4 รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
3.5 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
3.6 รัฐมนตรีว่าการทบวง
4.นายกรัฐมนตรี นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจุบัน
มีผู้ดำรงตำแหน่งมาแล้ว 18 คน (พ.ศ. 2534)
5.ที่มาของรัฐบาล รัฐบาลมีที่มา 2 ทาง คือ
5.1 มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
5.2 มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร
6.อำนาจหน้าที่ของรัฐบาล
6.1 รักษาเอกราชและความมั่นคงของชาติ
6.2 รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
6.3 พัฒนาเศรษฐกิจเพื่อความเจริญก้าวหน้า
6.4 ให้บริหารด้านการศึกษา การแพทย์ การสาธารณสุข ฯลฯ
6.5 จัดเก็บภาษีอากรเพื่อนำมาใช้ในการบริหารประเทศ
7.การบริหารราชการของรัฐบาล แบ่งออกเป็น 3
ส่วน ดังนี้ คือ
7.1 การบริหารส่วนกลาง
ก.อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวง ทบวง กรม และหน่วย
ข.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน
7.2 การบริหารส่วนภูมิภาค
ก.อยู่ในความรับผิดชอบของจังหวัดและอำเภอต่างๆ
ข.ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาในเขตจังหวัด
ค.นายอำเภอเป็นผู้บังคับบัญชาในเขตอำเภอ
7.3 การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
ก.เป็นการกระจายอำนาจบริหารจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น
ข.เปิดโอกาสให้ประชาชนในส่วนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วม
|